แป้งกล้วยเป็นแป้งที่ปราศจากกลูเตนสกัดมาจากกล้วยดิบ แป้งชนิดนี้เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการจัดการปริมาณคาร์โบไฮเดรต และนี่คือคุณประโยชน์บางส่วนที่ได้จากแป้งกล้วย:
ดัชนีน้ำตาลในเลือดต่ำ: ดัชนีระดับน้ำตาลในเลือด (Glycemic Index : GI) เป็นค่าการวัดว่าคาร์โบไฮเดรตในอาหารเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดได้เร็วแค่ไหน อาหารที่มีค่า GI สูงอาจทําให้น้ำตาลในเลือดพุ่งสูงขึ้นอย่างรวด เร็ว ซึ่งนําไปสู่การหลั่งอินซูลินที่เพิ่มขึ้นและพลังงานที่อาจเกิดขึ้น แป้งกล้วยมีดัชนีระดับน้ำตาลในเลือดต่ํากว่าเมื่อเทียบกับแป้งสาลีซึ่งหมายความว่ามันถูกย่อยและดูดซึมได้ช้ากว่าส่งผลให้กลูโคสค่อยๆ ปล่อยเข้าสู่กระแสเลือดการปล่อยตัวช้า สามารถช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่และช่วยในการควบคุมคาร์โบไฮ เดรตได้ดีขึ้น
แป้งทนทานต่อการย่อย: แป้งกล้วยมีแป้งทนต่อการย่อย แป้งชนิดนี้เป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่งที่ต้านทานการย่อยอาหารในลําไส้เล็ก แทนที่จะผ่านไปยังลําไส้ใหญ่ซึ่งทําหน้าที่เป็นเส้นใยพรีไบโอติกบํารุงแบคทีเรียใน ลําไส้ที่เป็นประโยชน์ แป้งทนการย่อยมีผลกระทบน้อยที่สุดต่อระดับน้ำตาลในเลือดและมีส่วนช่วยในการควบ คุมระดับน้ำตาลในเลือดที่ดีขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมความรู้สึกอิ่มลดการบริโภคอาหารโดยรวมและช่วยในการควบคุมน้ำหนัก
ปริมาณเส้นใย: แป้งกล้วยอุดมไปด้วยใยอาหาร เพิ่มปริมาณกากใยให้กับอาหารอื่น ๆ ที่เรารับประทานเข้าไปแต่ไม่มีแคลอรี่ ใยอาหารเหล่านี้ช่วยชะลอกระบวนการย่อยอาหารทำให้รู้สึกอิ่มนานขึ้น และลดระดับน้ำตาลในเลือดที่โดยปกติจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วหลังอาหาร และด้วยการผสมผสานแป้งกล้วยเข้ากับมื้ออาหาร คุณจะสามารถเพิ่มปริมาณเส้นใยและอิ่มนาน จึงควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง
ใช้แป้งกล้วยทดแทนแป้งสาลี: เราสามารถใช้แป้งกล้วยทดแทนแป้งสาลีได้เลย ไม่ว่าจะเป็นอาหารอร่อยจานไหนก็ตามด้วยการปรุงที่ไม่ยุ่งยาก เราสามารถใช้แป้งกล้วยแทนเมนูที่ทำจากแป้งสาลีทำได้เกือบทุกเมนู นี่เองจะทำให้คุณสามารถควบคุมและปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่จะเข้าสู่ร่างกายได้อย่างมีประสิทธ์ภาพ คุณสมบัติของแป้งกล้วยเหมาะอย่างยิ่งกับผู้ที่ต้องการอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำและผู้ที่แพ้กลูเตน
ขณะที่แป้งกล้วยมีส่วนช่วยสร้างความสมดุลให้กับการรับประทานอาหารในแต่ละวันของเรา แต่เราควรบริโภค ในปริมาณที่พอเหมาะเช่นเดียวกับอาหารอื่น ๆ ด้วย ถึงอย่างนั้นการรับประทานอาหารจากแป้งกล้วยอาจไม่เหมาะกับทุกคน ดังนั้นคุณควรปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารหรือนักโภชนาการ เพื่อรับคำแนะนำที่ถูกต้องและเหมาะกับสุขภาพของตัวคุณเองจะดีที่สุด